(เข้าชม 1191 ครั้ง)
หลักของเลอชาเตอลิเอ
จากการทดลอง 7.4 และ 7.5 แสดงใหเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสาร ความดัน หรืออุณหภูมิ เป็นการรบกวนภาวะสมดุล และมีผลทำให้ภาวะสมดุลของระบบเปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ อองรี-ลุย เลอชาเตอลิเอ ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภาวะสมดุลของปฏิกิริยาต่าง ๆ และได้ข้อสรุปในปี พ.ศ. 2527(ค.ศ.1884) ว่า เมื่อระบบที่อยู่ในภาวะสมดุลถูกรบกวนโดยการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสมดุลของระบบ ระบบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่จะลดผลของการรบกวนนั้น เพื่อให้ระบบเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง ข้อสรุปนี้ต่อมารู้จักกันแพร่หลายว่าเป็น หลักของเลอชาเตอลิเอ จากหลักการดังกล่าวนี้ทำให้สามารถทำนายทิศทางการดำเนินไปของปฏิกิริยาเพื่อเข้าสู่ภาวะสมดุลใหม่ เมื่อมีการรบกวนสมดุลโดยการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์ ความดันหรือปริมาตรหรืออุณหภูมิของระบบได้และสามารถนำไปอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม เพื่อเลือกภาวะที่เหมาะสมที่จะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์มากที่สุด
การใช้หลักของเลอชาเตอลิเอในอุตสาหกรรม ในวงการอุตสาหกรรม ผู้ผลิตจะเลือกกรรมวิธีผลิตที่สามารถเปลี่ยนวัตถุดิบหรือสารตั้งต้นให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ได้มากที่สุด โดยเสียเวลาและค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด จึงมีการนำหลักของเลอชาเตอลิเอมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น การผลิตแก๊สแอมโมเนีย เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต พลาสติกหรือสีย้อม การผลิตแก๊สแอมโมเนียใช้สารตั้งต้นคือแก๊สไนโตรเจนที่ได้จากแก๊สธรรมชาติ ปฏิกิริยาระหว่างแก๊สไนโตรเจนกับแก๊สไฮโดรเจนเกิดขึ้น ดังสมการ
ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาคายความร้อนและผันกลับได้ ณ ภาวะสมดุล จึงมีทั้งสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ทุกชนิดผสมกัน
- นักเรียนคิดว่าการเปลี่ยนความดันหรืออุณหภูมิจะทำให้เกิดผลอย่างไร ถ้านำข้อมูลจากการทดลองผลิตแก๊สแอมโมเนียที่อุณหภูมิและความดันต่าง ๆ มาเขียนกราฟ จะได้ดังรูป
รูป 7.15 กราฟแสดงปริมาณของแก๊สแอมโมเนียที่ผลิตได้ ณ อุณหภูมิและความดันต่าง ๆ เมื่อใช้แก๊สไนโตรเจนและแก๊ส ไฮโดรเจนผสมกันในอัตราส่วน 1:3 โดยปริมาตร
จากกราฟแสดงให้ทราบว่า ณ ความดันหนึ่ง ถ้าผลิตแก๊สแอมโมเนียที่อุณหภูมิต่ำ จะได้ปริมาณแก๊สแอมโมเนียมากกว่าเมื่อผลิตที่อุณหภูมิสูง นักเรียนคิดว่าการได้แก๊สแอมโมเนียน้อยลงเมื่อเพิ่มอุณหภูมิเป็นไปตามหลักของเลอชาเตอลิเอหรือไม่ อย่างไร เนื่องจากปฏิกิริยาการผลิตแก๊สแอมโมเนียเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน การลดอุณหภูมิจึงมีผลทำให้ระบบปรับตัวไปในทิศทางที่เกิดแก๊สแอมโมเนียมากขึ้น ซี่งเป็นไปตามหลักของเลอชาเตอลิเอ ณ อุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่ง เมื่อเพิ่มความดันจะได้แก๊สแอมโมเนียมากขึ้น อธิบายได้ว่าเมื่อใช้แก๊สไนโตรเจน 1 โมล ทำปฏิกิริยากับแก๊สไฮโดรเจน 3 โมล ( รวมทั้งหมด 4 โมล ) จะได้แก๊สแอมโมเนีย 2 โมล แสดงว่าการเกิดแก๊สแอมโมเนียทำให้จำนวนโมลรวมของแก๊สในระบบลดลงโดยที่ปริมาตรคงเดิม เป็นผลให้ความดันของแก๊สในระบบลดลงถ้าต้องการให้ได้แก๊สแอมโมเนียปริมาณมากขึ้น จึงทำได้โดยการเพิ่มความดันให้แก่ระบบ ดังนั้นถ้าต้องการเตรียมแก๊สแอมโมเนียให้ได้ปริมาณมาก จึงควรเตรียมทิ่อุณหภูมิต่ำและความดันสูงอย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งจะต้องนำมาประกอบการพิจารณาคืออัตราการเกิดปฏิกิริยา เพราะว่าที่อัณหภูมิต่ำแก๊สไนโตรเจนจะทำปฏิกิริยากับแก๊สไฮโดรเจนได้ช้ามาก จากการศึกษาพบว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นถ้าเพิ่มอุณหภูมิหรือใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม ถ้าใช้อุณหภูมิต่ำมากปฏิกิริยาจะเกิดช้าจึงไม่เหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรม จากการทดลองพบว่าภาวะที่เหมาะสำหรับผลิตแก๊สแอมโมเนียคือที่อุณหภูมิประมาณ สังเคราะห์ดังกล่าวนี้ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1912 โดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อ ฟริตซ์ ฮาเบอร์ จึงเรียกกระบวนการนี้ว่า กระบวนการฮาเบอร์
อุตสาหกรรมการผลิตสารเคมีอื่น ๆ ที่นำหลักของเลอชาเตอลิเอมาใช้ เช่น การเตรียมแก๊สซัลเฟอร์ไตรออกไซด์เพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในการเตรียมกรดซัลฟิวริก โดยให้แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนดังสมการ
- ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ให้ใช้หลักของเลอชาเตอลิเอทำนายว่า ถ้าต้องการได้ผลิตภัณฑ์มากควรจะเลือกอุณหภูมิและความดันอย่างไร สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตแก๊สฟอสจีน ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน โดยทั่วไปจะให้แก๊สทั้งสองชนิดนี้ทำปฏิกิริยากันที่อุณหภูมิ
- ถ้าต้องการให้ได้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น อุณหภูมิและความดันของแก๊สในระบบควรเป็นอย่างไร
อุตสาหกรรมอีกประเภทหนึ่งคือ การสังเคราะห์เพชรจากแกรไฟต์ นักเรียนทราบแล้วว่าเพชรและแกรไฟต์เป็นธาตุคาร์บอน แต่ปรากฏอยู่ในรูปต่างกันนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองสังเคราะห์เพชรจากแกรไฟต์เป็นผลสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) สมการแสดงการเปลี่ยนแปลงเขียนได้ดังนี้
เนื่องจากเพชรมีความหนาแน่นสูงกว่าแกรไฟต์ปริมาตรต่อโมลของเพชรมีค่าน้อยกว่าปริมาตรต่อโมลของแกรไฟต์ การอัดแกรไฟต์ภายใต้ความดันสูงมากจะมีผลทำให้แกรไฟต์เปลี่ยนเป็นเพชรได้มาก ปฏิกิริยานี้เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน การเพิ่มความร้อนจึงทำให้ได้ปริมาณของผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น ภาวะที่เหมาะสมในการสังเคราะห์เพชร คือ อุณหภูมิประมาณ CaCO
ปูนดิบเป็นวัสดุสำคัญในการผลิตสารเคมีหลายชนิด เช่น แคลเซียมคาร์ไบด์ ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าเพื่อกำจัดสารเจือปนที่เป็นกรดในแร่เหล็ก ใช้ในการบำบัดความเป็นกรดในน้ำ และควบคุมมลพิษในอากาศ การเผาหินปูนเพื่อผลิตปูนดิบให้ได้ปริมาณมากก็มีการนำความรู้เกี่ยวกับหลักของเลอชาเตอลิเอมาใช้ เนื่องจากค่าคงที่สมดุลในปฏิกิริยานี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแก๊สCO |